เรื่องเล่าแห่งนาฬิกาไทย

รื่องเล่าแห่งนาฬิกาไทย
      ความ ผูกพันระหว่างมนุษย์กับนาฬิกานั้นมีมามาแต่เนิ่นนาน  และเชื่อแน่ว่าจวบจนทุกวันนี้ 'นาฬิกา'และ'เวลา'ได้กลายเป็นคำ 2 คำอันแสนคุ้นหูและคุ้นชินของทุกคน เฉกเช่นเดียวกับวิวัฒนาการของสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ บนโลกใบนี้ นาฬิกามีการพัฒนาการจากรุ่นเก่าแก่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงเรือนเวลาในหลายหลากรูป แบบ  บรรจุไว้ด้วยหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน  แต่สิ่งหนึ่งที่หากจะเปรียบเทียบมูลค่าแล้ว  เรียกได้ว่าแทบจะเทียบกันไม่ได้ก็คือประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนานของ นาฬิกาแต่ละเรือนเวลาที่สั่งสมมาจากหลายชั่วอายุคนผ่านกาลเวลามาหลายทศวรรษ หรือบ้างก็กว่าศตวรรษ  สุดท้ายกลายเป็นเรื่องเล่ากล่าวขานที่ไม่รู้จักจบ  ถ่ายทอดไปสู่ผู้สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า  เพิ่มความน่าพิสมัยสู่เรือนเวลา ที่มีแต่เจ้าของและผู้สืบทอดเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด

    จากตำนานนาฬิกาในสยาม  เมื่อก้าวเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยุคของการเริ่มติดต่อทำการค้ากับชาวต่างชาติ  ซึ่งก็คือผู้นำเอาเจ้าสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า ' นาฬิกา' เข้ามาด้วยหน้าตาและชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยในตอนแรกสักเท่าไหร่  และถือเป็นจุดจบของการดูเวลาแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านซึ่งอาศัยวิธีธรรมชาติ  เช่น นาฬิกาแดด เทียบเวลากับเงาสะท้อนจากแสงอาทิตย์ที่ลอดส่องผ่านช่องหินที่นำมาเรียงต่อ กัน  หรือผ่านโครงเหล็กง่ายๆไม่ได้บรรจุกลไกอันใดอย่างนาฬิกาแดดของประเทศจีน  ไปจน ถึงวิธีง่ายๆกับการเงยดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์ของคนไทยในที่สุด  ถ้าให้กำหนดเวลาที่แน่นอนของการเข้ามาที่มีบทบาทของนาฬิกาในประเทศไทยจริงๆ คงต้องเริ่มจากกษัตริย์ผู้ทรงเป็นผู้นำแห่งเทคโนโลยีและทรงนำเอาอิทธิพล ตะวันตกต่างๆเข้ามาดัดแปลงใช้ในประเทศไทยนั่นคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรีนอกจากบทบาททางการค้ากับเหล่านานาอารยประเทศที่พระองค์ทรง มีแล้ว  พระองค์ยังได้นำอาสิ่งประดิษฐ์มากมายอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยและ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารในการบริหารประเทศเข้ามาด้วย หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์เหล่านั่นก็คือ'เครื่องบอกเวลา' หรือนาฬิกานั่นเอง 

     ในยุคสมัยของพระองค์นั้นได้มีการนำเข้านาฬิกาตั้งพื้นหรือที่เรียกกันว่า 'นาฬิกาตุ้มถ่วง' ส่วนใหญ่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศแถบตะวันตก  แต่เมื่อพระองค์ทรงสั่งทำและนำเข้ามายังประเทศไทยเป็นพิเศษ  จึงได้มีการดัดแปลงหน้าปัด  โดยเฉพาะการใช้ตัวเลขไทยสำหรับบอกชั่วโมงแทนตัวเลขอารบิคซึ่ง ณ เวลาต่อมาได้กลายเป็นกระแสความนิยมเป็นอย่างมาก  และในขณะเดียวกันก็เกิดการนำเข้านาฬิกาตั้งพื้นในวงกว้างมากขึ้นโดยบริษัท เอกชนหลายๆบริษัท ต่อมาล้วนมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำเข้านาฬิกา  บริษัทเหล่านี้มักนิยมจารึกชื่อบริษัทตัวเองไว้บนพื้นหน้าปัดของนาฬิกาตุ้ม ถ่วงจนกลายเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งก็ว่าได้

     องค์ประกอบหลักๆของนาฬิกาตุ้มถ่วงในยุคนั้นจะประกอบไปด้วย 'กลไกไขลาน' มีตัวตุ้มถ่วงและสายแขวนตุ้มเป็นชิ้นส่วนหลัก  และที่พิเศษกว่าในปัจจุบันคือยุคนั้นสายแขวนตุ้มจะทำมาจากสายซอ  ที่เชื่อกันว่ามีคุณภาพดีและคงทน  จนนาฬิกาประเภทนี้ได้รับการขนานนามกันอีกชื่อว่า 'นาฬิกาไหมซอ' ในส่วนของหน้าปัดนาฬิกานิยมทำจากกระเบื้องเผาที่มีความคงทน  เมื่อเคลือบและเผาทับกับตัวเลขและอักษรจารึกต่างๆแล้ว  ตัวอักษรเหล่านี้จะอยู่คงทนไม่มีการลบเลือน ถือเป็นความประณีตและความพิถีพิถันของคนสมัยก่อนเป็นอย่างยิ่ง  ส่วนอีกความโดดเด่นของนาฬิกาตั้งพื้นก็คือ ตัวไม้ที่นำมาหุ้มส่วนประกอบสำคัญของนาฬิกาและกลายเป็นตู้ไม้ที่งดงามวิจิตร บรรจงเหมาะกับการเป็นของตกแต่งบ้านและสถานที่ต่างๆได้เป็นอย่างดี  ส่วนแหล่งผลิตสำคัญของนาฬิกาตั้งพื้นมีกระจัดกระจายอยู่หลายที่  แต่ที่นิยมและนำเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุดเห็นจะเป็นนาฬิกาจากกรุงปารีส   จนคนไทยเรียกติดปากว่า 'นาฬิกาปารีส 'หรือนาฬิกาจากอังกฤษที่เรียกว่า 'นาฬิกาลอนดอน' และนาฬิกาจากเวียนนา  ที่คนไทยเรียกว่า 'นาฬิกาเวียนนา' ระยะหลังนาฬิกาเวียนนากับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนกลายเป็นนาฬิกาขายดี และพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยนั้น

     ต่อมาไม่นานมีการพัฒนานาฬิกาตุ้มถ่วงเป็นนาฬิกาไขลานที่ย่อส่วนอันใหญ่โตเทอะทะของนาฬิกาตั้งพื้นโบราณให้มีขนาดเล็กลง  และกลายเป็นนาฬิกาแขวนผนังต่างๆนาฬิกาไขลานในยุคแรก แม้จะดูเป็นของใหม่แต่เรื่องคุณภาพยังสู้นาฬิกาตุ้มถ่วงแบบโบราณไม่ได้  เนื่องจากพอลานใก้ลหมด  ในนาฬิกาไขลานจะยิ่งทำให้นาฬิกาเดินช้าลง  อันมีผลต่อความเที่ยงตรงในการบอกเวลาและสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคนี้ ก็คือการนำเอาวังกะสีมาทำเป็นหน้าปัดแทนการใช้กระเบื้องเคลือบ  ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนหรือญี่ปุ่น  เพื่อลดต้นทุนการผลิตและขายได้ในราคาถูกลง โดยเน้นปริมาณการขายมากกว่ารูปแบบของงานฝีมือช่างอย่างในอดีตดังนั้น  หากพูดถึง
ความงดงามแล้วคงสู้หน้าปัดกระเบื้องเคลือบไม่ได้อย่างแน่นอน  อีกทั้งยังสึกกร่อนไปตามกาลเวลาได้ง่าย

     'ประหยัดพื้นที่'  กลายเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ของการผลิตนาฬิกา   พัฒนามาเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ  ที่แม้จะนำเข้ามาในไทยเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ  ก่อนที่นาฬิกาพกจะเข้ามามีอิทธิพลแทนที่แต่ก็กลายเป็นที่นิยมของนักสะสมมาก เช่นกัน   เนื่องจากนาฬิกาตั้งโต๊ะในสมัยก่อนไม่นิยมผลิตออกมาจำนวนมากๆ   แต่จะผลิตเพียงเรือนเดียวในแต่ละลวดลายเท่านั้น  นาฬิกาตั้งโต๊ะที่คนสมัยก่อนสะสม  จึงมีน้อยนักที่จะหาเรือนอื่นที่เหมือนกันได้และกลายเป็นของสะสมล้ำอีกชิ้น หนึ่ง

     กระแสนิยมของการใช้นาฬิกาพกเริ่มเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว     นับจากแรกๆ  เป็นนาฬิกาที่พระมหากษัตริย์นิยมสั่งทำขึ้นพิเศษและมอบให้แก่เหล่าขุนนาง หรือบุคคลสำคัญ  ในวาระสำคัญต่างๆนาฬิกาสมัยเก่า  จึงมักจะมีคำจารึกบันทึกวาระหรือเหตุการณ์สำคัญต่างๆไว้  ไม่ว่าจะบนพื้นหน้าปัดหรือฝาหลังของตัวเรือนนาฬิกา  ก็ตามกลายเป็นของล้ำค่าที่หายาก  แต่ไม่นานกระแสการใช้นาฬิกาพกก็ได้เข้าสู่สังคมระดับกลาง  โดยเฉพาะบรรดาพ่อค้าแม่ขายผู้มีฐานะ   จากนาฬิกาสำหรับบอกเวลากลายเป็นเคื่องประดับบารมีอีกชิ้นหนึ่งไป  และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้นาฬิกาพกเริ่มเป็นที่พบเห็นกันหนาตา  รวมถึงภาพการดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยที่ผูกพันธ์กับเครื่องบอกเวลามาก ขึ้น   ในเวลานี้เองแหล่งผลิตของนาฬิกาจวบจนถึงปัจจุบันอย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังกลายเป็นแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุด สำหรับนาฬิกาพก   และนาฬิกาข้อมือ  ผู้ผลิตหลายรายเริ่มต้นจากการผลิตนาฬิกาพกที่นอกจากย่นย่อขนาดให้สามารถพกพา ได้สะดวกแล้ว  ยังได้พัฒนาในส่วนของกลไกลที่ต้องลดขนาดลงหลายสิบเท่า ซ้ำยังมีการผลิตคิดค้นการผลิตฟังก์ชันใหม่ๆเพิ่มเติมเข้าไปด้วยเช่น ฟังก์ชันบอกวัน และวันที่ บอกข้างขึ้น-ข้างแรม ย่ำรุ่งย่ำค่ำ บอกเวลาของไทม์โซนที่ 2  และระบบจับเวลาที่ไม่ซับซ้อนอะไรมาก     ด้วยคุณูปการของเจ้าของนาฬิกาพกที่ต้องติดตัวอยู่ตลอดเวลา  ทำให้มีผู้ริเริ่มเปลี่ยนจากนาฬิกาพกมาเป็นนาฬิการ้อยหูด้วยริบบิ้น  หรือสายโซ่เพื่อนให้คล้องสวมกับข้อมือได้กลายเป็นนาฬิกาข้อมือที่นับวันยิ่ง ได้รับความนิยม 
เนื่องจากความสะดวกสบายในการพกพาและดูเวลา  เพียงแค่พลิกข้อมือก็ทราบเวลาเเล้ว   นาฬิกาข้อมือยุคแรกๆในเมืองไทยยังเป็นนาฬิกาที่ดูเรียบง่ายคลาสสิค  มีตัวเรือนทองเป็นส่วนใหญ่กลไกลภายในยังเป็นกลไกลไขลานล้วนเป็นคุณสมบัติ เด่นๆของนาฬิกาพกมาก่อน  แต่ได้เปลี่ยแปลงไปคือการเน้นให้มีขนาดตัวเรือนเล็กและบางลง   โดยมีแหล่งผลิตและผู้ส่งออกนาฬิกาข้อมืออย่างแพร่หลายไปทั่วโลกสำคัญคือสวิส เซอร์แลนด์  คนไทยเราเองก็รับเอาอายธรรมของการใช้นาฬิกาข้อมือเข้ามาทดแทนนาฬิกาพก เช่นกันหลังจากนั้นเพียงไม่นานนาฬิกาพกก็แทบจะเลือนหายไปจากความคิดของผู้ นิยมนาฬิกามาก่อน

      ดูเหมือนว่าวิวัฒนาการของนาฬิกาข้อมือจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วที่สุด  เมื่อมีการคิดค้นกลไกและรูปทรงใหม่ๆ  ให้กับเรือนเวลาข้อมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะจุดต้นกำเนิดของนาฬิกากลไกอัตโนมัติ ตามมาด้วยกระแสความนิยม
กลไกควอตซ์  ที่ส่วนใหญ่ผลิตมาจากประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะนิยมมาหวนนาฬิกาไขลานอีกครั้งในปัจจุบัน


               .......    อนุเคราะห์บทความโดย GM Watch
ที่มา:http://www.expert-watch.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=573884&Ntype=1